ลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง ผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39

ข่าวประชาสัมพันธ์

เขียนโดย ณัฐสุรางค์ สุสานนท์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานเปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติ การกำหนดอัตราค่าจ้างต่ำ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น

ค่าแรงเฉลี่ย 5.02% และจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วีนที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปนั้น กระทรวงแรงงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือนายจ้างผู้ประกอบการ และพี่น้องผู้ประกันตน

โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งได้รับความเดือดร้อน จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอันเนื่องมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของค่าครองชีพหลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 

กระทรวงแรงงาน จึงได้มีการเสนอลดเงินสมทบทั้งฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตน โดยวันนี้ (20 กันยายน 2565) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการในการช่วยเหลือลดเงินสมทบนายจ้าง ผุ้ประกันตน

มาตรา 33 จากเดิมร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 39 ปรับลดอัตราเงินสมทบ จากอัตราเดือนละ 432 บาท เหลือในอัตราเดือนละ 240 บาท โดยเริ่มตั้งแต่

ตุลาคม - ธันวาคม 2565 สำหรับฝ่ายรัฐบาล ยังส่งเงินสมทบในอัตราเดิมคือร้อยละ 2.75 ของค่าจ้างผู้ประกันตน

 

โดยมาตรการลดเงินสมทบเพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ประกันตนในสถานการณ์ดังกล่าว จะส่งผลให้ผู้ประกันตน สามารถนำเงินสมทบที่ลดลง 576-900 บาท ต่อคน รวมเป็นเงินที่ลดลงประมาณ 9,080 ล้านบาท

ไปใช้ในการเพิ่มสภาพคล่องมากขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาทางการเงินของผู้ประกันตนทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการช่วยแบ่งเยาลดภาระต้นทุนที่สูงขึ้นและเพิ่มสภาพคล่องให้กับนายจ้าง 

เป็นจำนวนเงินกว่า 7,964 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้สถานประกอบการสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี่ เงินสมทบที่ลดลงมากกว่า 17,044 ล้านบาท จะกลายเป็นเม็ดเงินที่นำมาใช้จ่ายช่วยหมุนเวียนในระบบ เศรษฐกิจของประเทศ สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจะได้

เร่งดำเนินการเพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ทันภายในกำหนด จึงขอให้นายจ้่าง และผู้ประกันตน มั่นใจในการดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมภายใต้นโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักาาการนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้ประกันตนให้ตรงจุดและทันท่วงที เนื่องจากปัญหาเรื่องความเป็นอยู่ปากท้องของพี่น้อง ผู้ใข้แรงงาน

เป็นเรื่องสำคัญ และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน

Pin It